FORBIDDEN Ch21: ไปต่อหรือพอแค่นี้
FORBIDDEN Ch21: ไปต่อหรือพอแค่นี้
สายตาคมทอดมองไปยังร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียวกับสายน้ำเกลือที่เจาะอยู่ตรงหลังมือทำเอามือใหญ่เผลอกำเข้าหากันแน่น
กวินท์ลูบดวงหน้าหวานแผ่วเบา
ไออุ่นจากผิวเนื้อไข้ยังคงส่งผ่านมาถึงเขาแม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับยาไปแล้ว
อินทัชตอนนี้ดูอ่อนแอและเปราะบางกว่าที่เคย
ราวกับว่าถ้าเขาเผลอสัมผัสแรงๆเข้าไปร่างตรงหน้าคงจะบุบสลายและแตกหักไปในพริบตา
ถ้าให้เปรียบหัวใจอินทัชในตอนนี้กับแก้วคริสตัลที่เคยเผลอปัดหล่นสักใบ มันก็คงเต็มไปด้วยรอยร้าวที่เพียงสัมผัสแค่เบาๆก็พร้อมจะแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
“อ่าวอา
สวัสดีครับ” ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียง เขาพยักหน้าให้ติณณ์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถุงเซเว่นในมือ
“คนอื่นล่ะ?”
เขาถามเมื่อไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาอีก
“วีกับหมูเพิ่งออกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเองครับ
พวกผมว่าจะสลับกันเฝ้าเพราะจะให้ตากับยายอินมานอนเฝ้าก็คงไม่ไหว”
ติณณ์อธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองยังอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งที่เพื่อนหนีกลับไปนอนกันหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ตกใจจนลืมหิวพอสบายใจขึ้นเด็กหนุ่มก็เริ่มจัดการข้าวในกล่องอย่างรวดเร็ว
“เรากลับไปนอนก่อนก็ได้
เดี๋ยวอาเฝ้าอินเอง” กวินท์บอกติณณ์
เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจกับการจะให้เขาอยู่เฝ้าอินต่อ
“เดี๋ยวผมเฝ้าเองดีกว่า
ไม่อยากรบกวนอาครับ”
ติณณ์บอกเพราะเกรงว่าถ้าอินตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้ากวินท์เป็นคนแรกจะอาการทรุดลงไปอีก
ขนาดตอนนี้ตายังดูบวมๆอยู่เลย
“กลัวอาจะทำเพื่อนเราร้องไห้อีกใช่ไหม”
กวินท์รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่แปลกหรอกหากติณณ์จะไม่อยากให้อินเจอเขา
ถ้าพูดกันตามตรงแม้แต่คนบนเตียงก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขาเหมือนกัน
ใครที่รู้เรื่องนี้อาจจะคิดว่าเขาเห็นแก่ตัวแต่สำหรับกวินท์ลูกต้องมาที่หนึ่งเสมอ
ตั้งแต่วันที่เขารู้ว่าตัวเองทำให้กวีเกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจเขาก็คิดมาตลอดว่าเขาไม่ได้รักและไม่พร้อมจะมีเด็กคนนี้ในชีวิต
กระทั่งวันที่เด็กน้อยลืมตาออกมาดูโลกพร้อมกับเสียงร้องไห้จ้ารอยยิ้มกว้างบนหน้าหล่อเหลาก็ผุดขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
เขารักมือเล็กๆที่ยื่นออกมาจับนิ้วตัวเองไว้ รักเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นจากการหยอกล้อระหว่างเขากับลูก
รักสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา…
และวันนั้นเองที่เขาทั้งกล่าวคำขอโทษและเอ่ยคำสัญญากับภรรยา
คำขอโทษที่ว่าเขาเสียใจที่ไม่อาจเป็นคนรักที่ดีให้กับผู้หญิงคนนี้ได้
กับคำสัญญาที่ว่ากวินท์จะดูแลแก้วตาดวงใจให้ดีที่สุดเท่าที่คนเป็นพ่อจะสามารถทำได้
จากวันผ่านไปเป็นเดือน
จากเดือนผ่านไปเป็นปี
แววตาคู่เก่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความสุขที่ได้เห็นลูกชายตนค่อยๆโตขึ้นทีละเล็กละน้อย
เขายังจำความรู้สึกมหัศจรรย์ในตอนที่ลูกเรียกเขาว่าป๊าครั้งแรกได้
กวินท์รู้ว่าชีวิตเขาไม่ได้ต้องการอะไร
นอกจากการที่จะได้เห็นลูกโตขึ้นมาอย่างมีความสุข
จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนึง
ใบหน้าสวยหวานดั่งพระเจ้าทรงสรรค์สร้างกับผิวพรรณที่ขาวดุจสีของน้ำนมดึงดูดสายตาเขาให้หันไปมองและหยุดอยู่ตรงนั้นราวกับโดนตรึงไว้ด้วยเชือกล่องหน
น่ารัก...
คำแรกที่แวบเข้ามาในหัวกวินท์คือสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจและต้องส่ายหัวให้กับความคิดนั่น
เพราะเด็กที่เดินออกมาจากบ้านในวันนั้นคือเพื่อนของลูกตัวเอง
‘อินไม่รบกวนอาใช่มั้ยคั้บ?’
กวินท์ยิ้มให้กับคำถามเดิมๆที่มักออกมาจากปากจิ้มลิ้มแม้ว่าเขาจะบอกกลับไปทุกครั้งว่าไม่เป็นไร
อินทัชดูเป็นเด็กขี้เกรงใจจนเขาทนไม่ไหวต้องเรียกตัวมาพูดคุยปรับทัศนคติ
ตอนแรกกวินท์คิดว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายแต่พอได้รู้จักกันมากขึ้นเขาถึงเข้าใจว่าสาเหตุทั้งหมดมาจากการที่อินไม่เคยได้รับการปรนนิบัติที่ดี
เด็กตัวแค่นั้นทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด
จนกระทั่งกลายเป็นความคุ้นชินและไม่แน่ใจเมื่อมีใครสักคนทำอะไรให้ ตอนนั้นกวินท์ก็แค่อยากจะช่วยให้อินเลิกคิดแบบนั้น...เลิกคิดแทนคนอื่นไปซะทุกเรื่อง
อยากให้อินเต็มใจที่จะรับความช่วยเหลือจากเขาไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
การที่เขายอมตื่นแต่เช้าเพื่อนวนรถไปรับเด็กตัวเล็กแล้วขับไปส่งที่มหา’ลัยคงไม่ใช่เรื่องปกติที่พ่อของเพื่อนจะทำกัน
มันไม่ปกติอยู่แล้วในความรู้สึกของกวินท์และเหมือนอินเองก็จะคิดแบบนั้นเช่นกัน รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีแต่เป็นคนที่อยากขยับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อเพื่อนกับเพื่อนลูกไปให้มากกว่านั้น
แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นคนที่เฝ้าหลอกตัวเองทุกวัน
ทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย กวินท์ก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัว
เป็นคนที่อยากจะได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องการจะเสียอะไรไป อยากอยู่ใกล้แต่ก็ให้ไปมากกว่านี้ไม่ได้เพราะรู้ว่าเรื่องมันจะลงเอยเช่นไรหากเขาตามใจตัวเองไปมากกว่าที่เคย
ถ้าจะหาคนผิดจากเรื่องนี้ก็คงมีเขาแค่คนเดียว...
“เรากลับบ้านไปนอนเถอะ
ดูสภาพตัวเองหน่อยสิ” คนแก่กว่าบอกเด็กหนุ่มที่นั่งสโลสเลอยู่บนโซฟา
แต่พูดก็พูดเถอะ ติณณ์คิดว่าอาเองก็ไม่ดูสภาพตัวเองเลยเหมือนกัน คิ้วยังแตก
แผลไม่ได้เย็บ ปากยังมีรอยช้ำ ไหนจะใต้ตาคล้ำนั่นอีก
“ถ้ามันตื่นมาเห็นอามันร้องไห้อีกแน่”
“ติณณ์”
กวินท์ส่งสายตาขอร้องแกมบังคับ แม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีทีท่าลำบากใจเพียงใดก็ตาม กระทั่งสุดท้ายก็ตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพยักหน้าให้อย่างจำยอม
“ฝากเพื่อนผมด้วยแล้วกัน
ดูแลมันให้สมกับความรักที่มันมีให้อาหน่อยครับ”
รู้ว่าตัวเองกำลังพูดจาก้าวร้าวและปีนเกลียวคนรุ่นพ่อแต่ติณณ์ก็อดโมโหคนตรงหน้าไม่ได้
ทำเพื่อนเขาร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจเสียขนาดนั้นแล้วยังจะกล้าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก
ทว่าที่ต้องยอมเพราะสุดท้ายความรักก็เป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่พวกเขา
ต่อให้ติณณ์กีดกันไม่ให้อาเจออินแต่ถ้าอินยังรู้สึกมันก็นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ดี
“อืม”
.
.
.
เปลืองตาบางทั้งปวดบวมและหนักอึ้ง
กลิ่นแรงๆของยาทำให้คนที่เพิ่งได้สติรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อินทัชค่อยๆฝืนลืมตา
แม้ว่าเขาอยากจะหลับไปอีกนานแสนนานแต่ในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ คนบนเตียงกวาดสายตามองหาเพื่อนสนิทที่น่าจะเป็นคนพาเขามาส่งโรงพยาบาลแต่กลับพบคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดนั่งหลับอยู่บนโซฟาแทน
อินไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังมาหา
ทำไมต้องมาให้เห็นหน้า ทำไมยังไม่เลิกเห็แก่ตัวสักที...
เป็นเสี้ยววินาทีสั้นๆที่พวกเขาได้สบตากันหลังอินนอนมองใบหน้าคมคร้ามที่ดูโทรมลงไปถนัดตา
กระทั่งอีกฝ่ายตื่นขึ้นมา
“ตื่นแล้วทำไมไม่เรียก”
รูปประโยคกับน้ำเสียงที่เหมือนจะดุเขากลายๆทำให้เด็กบนเตียงหันหน้าหนีผู้ใหญ่ใจร้ายไปอีกทาง
ไม่อยากได้ยินอีกแล้ว
ไม่อยากรับรู้...ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ทำร้ายใจกันอินทนไม่ไหวอีกแล้ว
“จะไม่ตอบอาหน่อยหรอครับ”
กวินท์ถามเพราะอีกคนเล่นหันหน้าหนีแล้วเงียบกริบ ท่าทางที่เหมือนจะไม่อยากคุยกันนั้นทำเอาเขาเผลอถอนหายใจเบาๆ
แต่มันคงจะดังเกินไปเพราะอินได้ยินมันอย่างชัดเจน เป็นเหตุผลที่ทำให้ขอบตาเขาร้อนผ่าวอยู่ตอนนี้
ไม่ใช่ว่าอินไม่เบื่อ
ถามว่าร้องไห้แล้วเหนื่อยไหม...ใช่ มันเหนื่อย แต่จะให้หยุดร้องง่ายๆก็คงทำไม่ได้
เหมือนกับถ้าถามว่าตลอดเวลาที่รักผู้ชายคนนี้อินเหนื่อยไหม...แน่นอนว่ามันเหนื่อยก็เหมือนกัน
แต่จะให้หยุดรักเขาอินกลับทำไม่ได้เลย
อยู่ดีๆอินก็นึกถึงบทสนทนาที่ถกกันในห้องเรียนเมื่อหลายเดือนก่อนในหัวข้อที่ว่าคนที่เลือกจะลงมือทำทั้งที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้วนั้นแค่กล้าหรือว่าโง่
ในตอนแรกอินคิดว่ามันคือความกล้า
เพราะถ้าไม่ลองเสี่ยงดูคงไม่มีวันได้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือแค่คิดไปเอง
ทว่าตอนนี้อินโคตรจะมั่นใจว่าคนประเภทนั้นเป็นพวกที่ทั้งบ้าและทั้งโง่
เหมือนเขา...
เขาคิดน้อยเกินไปทั้งเรื่องที่ว่าตัวเองคงจะมีความอดทนมาพอจะรอถึงวันที่วียอมรับได้และไม่ใจร้ายกับเพื่อนสนิทอย่างเขาเกินไปนัก
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันได้พิสูจน์แล้วว่าอินคิดผิด
และตอนนี้อินก็ไม่เหลืออะไรเลย ทั้งมิตรภาพและความไว้ใจ
ต่อให้ติณณ์จะบอกว่ากวีเป็นห่วงที่เขาหายไป
และเขาเองก็เข้าใจว่าเรื่องระหว่างเขากับอามันเป็นเหตุผลมากพอจะทำให้วีเกลียดตน
แต่สำหรับอินแล้วความรู้สึกที่เสียไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้
ถึงจะพยายามให้ตายยังไงก็คงไม่เหมือนเดิม
“ยังปวดหัวอยู่ไหม”
กวินท์ถามขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าชายหนุ่มได้รับเพียงความเงียบเป็นคำตอบ สุดท้ายจึงต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาเด็กป่วยบนเตียงที่เหมือนจะเกลียดเขาไปเสียแล้ว
“อินครับ
รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกไหมอาจะได้ไปตามพยาบาลมาดูให้”
ชายหนุ่มว่าก่อนจะชะโงกหน้าไปมองใบหน้าน่ารักที่ไม่แม้แต่ชายตามาทางเขา
“ถ้าไม่บอกอาก็ไม่รู้นะครับ” มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับไหล่บางชะงักเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงตัวหนีแล้วซุกหน้าลงกับหมอนพร้อมบอกเสียงอู้อี้
“จะนอน อย่ามายุ่ง”
“อืม งั้นนอนเถอะจะได้หายไวๆ”
.
.
.
อินทัชตื่นมาอีกทีในช่วงหัวค่ำของวัน
อาการปวดหัวดีขึ้นมากจนเขาคิดว่าไข้คงจะใกล้หายแล้วด้วยซ้ำ
“ตื่นแล้วหรอมึง
ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ติณณ์ถามคนเพิ่งตื่น
แทนที่จะดีใจที่เห็นหน้าคนหล่อๆแบบเขาแต่ดันซึมเป็นหมาถูกเจ้าของทิ้งซะได้
“...หรือมึงหวังว่าจะได้เจอใคร?”
เขาลองถามหยั่งเชิงแต่อินก็ส่ายหน้าน้อยๆ
“เปล่า”
“อาเขาลงไปกินข้าว
เดี๋ยวก็ขึ้นมา”
“กูไม่ได้ถามถึงเขาสักหน่อย”
อินบอก ใครจะไปอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นหายไปไหน ไม่อยู่สิยิ่งดี
“แล้วมองหาใคร?
พี่มาร์ชมึงหรอ รายนั้นเพิ่งรู้ว่ามึงป่วยตอนโทรมากูรับสายเลยบอกไปให้”
ติณณ์เพิ่งมาถึงได้ประมาณชั่วโมงชั่วโมงและเป็นเขาเองที่ไล่กวินท์ให้ไปหาอะไรกินเพราะสภาพอีกฝ่ายดูไม่สู้ดีนัก
ช่วงนั้นเองที่มาร์ชโทรเข้ามาพอรู้เรื่องก็บอกว่าจะรีบมาหา
“ก็...อืม
แล้วพี่เขาว่าไงล่ะ?”
แอ๊ด
เสียงประตูห้องเปิดขึ้นพร้อมร่างสูงของคนที่เพิ่งถามถึง
ในมือใหญ่ถือช่อดอกไม้ที่ผู้หญิงคนไหนเห็นคงต้องนึกอิจฉาคนที่จะได้รับมันไป ชายหนุ่มเดินมาอยู่ข้างเตียงเด็กตัวเล็กที่ยิ้มบางๆให้เขา
“ก็ว่าทำไมไม่ตอบไลน์เลย
พี่เป็นห่วงแทบแย่แหนะรู้ไหม?”
มาร์ชบอกหลังพยายามติดต่ออินมาตั้งแต่เช้าแต่ไม่สำเร็จ
ตอนแรกกะว่าเลิกงานแล้วจะไปหาที่บ้านแต่บังเอิญว่าเพื่อนอินรับโทรศัพท์เขาแล้วบอกว่าอินป่วยอยู่โรงพยาบาลซะก่อน
“อินก็เพิ่งฟื้นเหมือนกันเนี่ยแหละ”
อินตอบเสียงอ้อมแอ้ม
ไม่กล้าสารภาพหรอกว่าเขาไม่ทันนึกถึงมาร์ชเลยกระทั่งติณณ์พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นหน้ามาร์ชก็ช่วยให้อินทัชอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ได้อยากร้องไห้เหมือนในทุกๆครั้งที่ลืมตา
“แล้วหมอว่าไงบ้าง
เราจะออกโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่?”
“ยังไม่รู้เลยครับ
ไว้เดี๋ยวดีขึ้นหมอคงบอกอีกที”
ติณณ์ปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันไปโดยตัวเองนั่งเงียบๆตอบแชตกลุ่มที่เอาแต่ถามถึงคนป่วย
หมูมาเยี่ยมอินแล้วช่วงบ่ายๆแต่ว่าอินหลับ มาพร้อมกับวีนั่นแหละ
ส่วนตอนค่ำๆก็อย่างที่รู้กันว่าแม่มันดุไม่ยอมให้ออกจากบ้าน
เขาเลยต้องรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าเพื่อนแบบนี้ ยอมรับว่าขี้เกียจแต่ก็เต็มใจทำ
เด็กหนุ่มนั่งเล่นเกมส์ไปเรื่อยจนกระทั่งหันไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหลังประตู
ไม่รู้ว่ายืนมานานแค่ไหน
แต่จากใบหน้าตึงๆนั่นก็คงมากพอที่จะได้เห็นตอนมาร์ชลูบหัวเด็กป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
ตอนแรกติณณ์คิดว่ากวินท์จะเปิดประตูเข้ามาแต่อีกฝ่ายกลับเดินออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
“พี่กลับก่อนนะครับ
แล้วเราจะออกโรง’บาลวันไหนก็บอกพี่จะได้มารับ” มาร์ชบอกหลังอยู่เป็นเพื่อนคนตัวเล็กมาเป็นชั่วโมง
เขาเองก็ต้องรีบกลับไปทำงานไม่งั้นคงจะอาสาอยู่เฝ้าแทน
“เดี๋ยวไว้อินกลับกับเพื่อนก็ได้ครับ
อินไม่อยากรบกวนพี่มาร์ช”
แค่คิดว่าอีกฝ่ายต้องลางานมารับตัวเองอะไรทำนองนี้อินก็เกรงใจจะแย่ แต่คำตอบอีกฝ่ายก็ทำให้คนตัวเล็กได้ยิ้มบางๆตอบกลับไป
“เราเป็นแฟนพี่แค่นี้พี่ทำให้ได้ครับ”
“งั้นก็ได้ครับ”
.
.
.
“สรุปมึงจะยอมแพ้แล้ว?”
เดฟถามคนที่นับวันพันปีไม่เคยคิดจะแตะบุหรี่ทว่าตอนนี้กลับเอาแต่อัดนิโคตินเข้าปอดจนเขาต้องเดินไปเปิดหน้าต่างเพราะเกรงว่าจะสำลักควันตายก่อน
“หรือจริงๆกูแพ้มาตั้งแต่แรกแล้ววะ”
กวินท์ทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้า
หัวใจเขาบีบรัดไปหมดตอนเห็นอินทัชยิ้มให้ใครอีกคน
ไม่ใช่เสียใจที่เจ้าของรอยยิ้มนั้นไม่ใช่เขาแต่เสียใจเมื่อสิ่งที่ตัวเองให้อีกฝ่ายไปมีแต่บาดแผลและคราบน้ำตา
“มึงจะแพ้ได้ไงในเมื่อใจน้องอยู่ที่มึง”
“ก็แค่ตอนนี้”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาคงจะไม่มีกี่ครั้งที่เขายอมแสดงด้านที่อ่อนแอให้คนอื่นเห็น ถ้ามันไม่สุดจริงๆกวินท์คงไม่กลายเป็นไอ้ขี้แพ้แบบตอนนี้
ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมาตลอดกำลังจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวอีกครั้งหรือเปล่าให้ดึงรั้งให้อินกลับมาเป็นของตัวเองในวันที่เขาเลือกแล้วว่าอยากไปจากเรา
“จะมาเป็นคนดีทำห่าไรตอนนี้
ก่อนหน้านี้มึงก็เหี้ยมาได้ตลอด”
เดฟถามด้วยความไม่เข้าใจว่าเพื่อนตนคิดอะไรอยู่ถึงได้ถอดใจขนาดนี้
ยอมรับว่าเพื่อนเขาทำผิดมหันต์แต่ในเมื่อมันวิ่งมาถึงขนาดนี้แล้วก็ควรจะไปให้สุดทางมากกว่าจะมายอมแพ้ทั้งที่อีกไม่กี่ก้าวกำลังจะไปถึงเส้นชัย
“ถ้าจะคิดแบบนี้มึงก็ไม่ควรเริ่มตั้งแต่แรก ตอนนี้มันสายไปแล้วไอ้สัด”
“มันสายไปสำหรับกู
แต่ไม่ใช่สำหรับอิน
น้องยังเด็กยังมีโอกาสได้เจอคนที่ดีกว่าแล้วก็พร้อมจะดูแลเขามากกว่ากูได้”
คำตอบของกวินท์ทำเอาเดฟถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ให้มันได้แบบนี้สิเพื่อนกู
ถอดใจไม่รู้จักเวล่ำเวลา อยากจะตบกบาลมันให้คว่ำแต่ก็เห็นว่าโตๆกันแล้ว
“ได้ข่าวว่าไอ้มาร์ชไรนั่นก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่”
เดฟว่าตามที่ได้ยินมา“แต่เอาเถอะถ้ามึงยอมเห็นน้องกลายเป็นของคนอื่นได้กูก็นับถือใจมึงว่ะ”
.
.
.
กวินท์กลับมาจากบ้านเดฟแล้วทว่าคำพูดที่ราวกับเตือนให้เลิกคิดอะไรบ้าๆของเพื่อนยังคงวนอยู่ในหัวตลอดเวลา ปากก็พูดไปแต่เขาไม่เคยอยากให้อินทัชไปเป็นของคนอื่น...แค่คิดก็ทนไม่ได้
กวินท์อยากให้เด็กคนนั้นเป็นของเขาตลอดไป
มือใหญ่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะส่งแชตหาคนที่ตั้งแต่เขาเข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวันแรกก็ไม่ได้กลับไปเจอหน้าอีกเลย
ไม่อยากให้น้องต้องร้องไห้ตอนเห็นหน้าเขา
นั่นแหละเหตุผลที่กวินท์ไม่ไปให้น้องเห็นหน้า
ชายหนุ่มจ้องหน้าจออยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งไป
Kavin: อาคิดถึงน้องอิน
Kavin:
จะออกรพ.แล้วบอกได้ไหมเดี๋ยวไปรับ
Kavin: ตอบอาหน่อยนะครับเด็กดี
ถ้าครั้งสุดท้ายแล้วน้องยังยืนว่าคนที่เลือกไม่ใช่เขา ถึงตอนนั้นกวินท์จะยอมถอยให้แต่โดยดี
Comments
Post a Comment